นายคมศร ประกอบผล ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในคืนวันที่ 16-17 มี.ค.2565 ตามเวลาประเทศไทย ศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดว่าเฟดจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของนโยบายการเงินจากที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนเป็นนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมาถึง 7.9% ในเดือน ก.พ.2565 ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม TISCO ESU เชื่อว่า ตลาดหุ้นจะทยอยฟื้นตัวขึ้นได้ต่อจากนี้ แม้จะมีแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น เนื่องจากเฟดได้สื่อสารกับตลาดเกี่ยวกับประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยและการถอนสภาพคล่องมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 จึงทำให้ตลาดซึมซับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว
โดยในปัจจุบันตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยรวม 7 ครั้งในทุกการประชุมที่เหลือของปีนี้ และขึ้นต่อเนื่องอีก 2 ครั้งในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปที่ระดับ 2.5% ในช่วงกลางปี 2566 เท่ากับจุดสูงสุดของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยรอบก่อนในช่วงปี 2558-2562
“ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้มองว่า ในระยะสั้นตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวความชัดเจนเรื่องเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยในคืนนี้ เพราะก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นได้ปรับฐานเพื่อรับข่าวดังกล่าวไปแล้ว โดยหากเปรียบเทียบกับในช่วงเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในวัฏจักรก่อนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับฐานราว 10% ก่อนที่จะขึ้นดอกเบี้ยจริงในเดือนธันวาคม 2558 ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดปรับฐานลงมาราว 10% นับจากต้นปีนี้”
ส่วนในประเด็นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าตลาดหุ้นได้ซึมซับข่าวดังกล่าวไปมากแล้วเช่นกัน โดยประเมินจากการเคลื่อนไหวของ Earning Yield Gap ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ที่ใช้สะท้อนผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่นักลงทุนได้รับเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น มักเพิ่มขึ้นเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบตลาด
โดยในรอบนี้ Earning Yield Gap ได้เพิ่มขึ้นมา 58 bps นับจากสงครามเริ่มต้นขึ้น ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบอื่นๆ ในอดีต เช่น เหตุการณ์ 911 ในปี 2544 ที่ Earning Yield Gap เพิ่มขึ้น 78 bps เหตุการณ์รัสเซียยึดไครเมียในปี 2557 ที่ Earning Yield Gap เพิ่มขึ้น 54 bps และ การโหวตรประชามติ Brexit ในปี 2559 ที่ Earning Yield Gap เพิ่มขึ้น 15 bps
ในขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อื่นๆ ชี้ว่าตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อผลกระทบของสงครามต่อเศรษฐกิจโลก เช่น ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมาถึงเกือบ 30% และทองคำที่ลดลงเกือบ 10% จากจุดสูงสุด
แหล่งข่าว “ทิสโก้” คาดหุ้นเด้งสวนทางเฟดขึ้นดอกเบี้ย ปรับฐานรับข่าวร้ายไปแล้ว, bangkokbiznews, 16 มี.ค. 2565
COMMENTS