อย่างไรก็ตามเมื่อปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมาในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางที่ Jackson Hole ถ้อยแถลง 8 นาทีของประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลก็เหมือนจะดับความหวังของนักลงทุนลง เมื่อประธานเฟดยังคงย้ำเตือนว่าการต่อสู้เงินเฟ้อนั้นยังไม่จบ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังคงจำเป็นแม้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้โตต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นก็ตาม ภายหลังจากการแถลงส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและทั่วโลกปรับตัวลงอีกครั้ง
ทั้งนี้ในมุมมองของจูเลียสแบร์ยังคงมองว่าเฟดจะยังคงใช้แนวทางในการดำเนินนโยบายโดยขึ้นกับข้อมูล (Data-dependent) ซึ่งก่อนจะถึงการประชุมเฟดครั้งถัดไปวันที่ 20-21 ก.ย. เฟดจะได้เห็นข้อมูลด้านตลาดแรงงานและตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค.ซึ่งเป็นที่ลุ้นกันว่าทิศทางของเงินเฟ้อนั้นจะลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าหรือไม่
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ทำให้เราประเมินว่าตลาดการเงินจะยังมีความผันผวน และตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นยังมีโอกาสสูงที่จะลงไปทดสอบจุดต่ำสุดในของปีนี้ ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมิ.ย.อีกครั้ง
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นลงทุนในกลุ่ม Defensive หรือใช้กลยุทธ์เพื่อป้องกันพอร์ตขาลงในระยะสั้นและมองหาโอกาสกลับเข้าลงทุนในหุ้นเติบโตขนาดใหญ่เมื่อตลาดเกิดการปรับฐาน
การลงทุนในกลุ่ม Defensive โดยเฉพาะกลุ่มการแพทย์และสุขภาพหรือ Healthcare ยังคงเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เรามองว่าน่าสนใจที่สุด เนื่องจากยังคงมีระดับราคาหรือมูลค่าที่น่าสนใจในขณะที่ยังคงมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้จากสถิติในอดีตตั้งแต่ปี 1985 พบว่ามีค่าเฉลี่ยในการเติบโตของกำไรที่ 11.5%
เป็นรองเพียงแค่กลุ่มเทคโนโลยีที่เติบโตเฉลี่ยที่ 11.9% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯที่โต 8.5% ขณะที่ค่าเฉลี่ยเงินปันผลที่ระดับ 2% บวกกับการซื้อหุ้นคืนหรือ Share buy-backs และการเติบโตเมื่อมองไปข้างหน้ารวมกันแล้วนักลงทุนสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงในระดับตัวเลขสองหลักได้
ทั้งนี้เราคาดการณ์ว่าการเติบโตของกำไรจะอยู่ในระดับใกล้เคียงหรือในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดได้ เนื่องจากโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น (จากข้อมูลสถิติของ United Nation พบว่าประชากรที่อายุเกิน 65 ปี จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น 3.4% ต่อปี) การใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจะสูงมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะจีนที่เป็นประทศที่จะมีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลกแต่ยังมีการใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อ GDP เพียงแค่ 6% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
ในสหรัฐฯ ที่อยู่ระดับ 17% นอกจากนี้การออกผลิตภัณฑ์หรือการพัฒนายาใหม่ๆ รวมไปถึงการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการรักษาและป้องกันการเจ็บป่วยจะถูกนำมาใช้มากขึ้นตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นอกจากนี้จากการศึกษา ในอดีตเราพบว่าหุ้นกลุ่มนี้มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดในช่วงที่เกิด Stagflation (ภาวะที่เงินเฟ้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยและเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเติบโตต่ำกว่าแนวโน้ม)
แหล่งข่าว รับมือความผันผวนด้วยหุ้นกลุ่ม Healthcare, bangkokbiznews, 05 ก.ย. 2565
COMMENTS