รวมถึงยอดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19รายใหม่เร่งตัวขึ้นมาที่ 5,000 ราย กระทบต่อเซ็นทริเม้นต์เชิงลบต่อการลงทุน แต่เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะกระทบระยะสั้น เพราะว่า ความรุนแรงของโอมิครอนน้อยกว่าเดลตา หรือแม้จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อถึงหลักหมื่นรายก็ไม่น่าจะส่งผลต่อตลาดมากนัก ซึ่งคาดว่าจะไม่ทำให้เกิดการตื่นตระหนก เพราะนักลงทุนผ่านการแพร่ระบาดมาหลายรอบ
อีกทั้งอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูงคาดฉีดเข็ม3 น่าจะถึง 70% ในเดือนมี.ค.นี้ ทำให้มีโอกาสน้อยที่จะกลับใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มข้น หรือหากล็อกดาวน์ แต่เมื่อคลายเล็อกดาวน์ กลับมาเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังกลับมาและตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้
นายไพบูลย์ กล่าวว่า มองว่าตลาดหุ้นไทยปีนี้ ยังเป็นช่วงขาขึ้น ด้วยจุดเด่น คือ หุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ เงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งมีโอกาสน้อยที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงคาดว่าภาวะเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้เฉลี่ยเติบโต12% ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าเฉลี่ย 10,000 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้นยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,800 จุด
ขณะที่ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ในเดือนธ.ค.64 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือนมี.ค. 2565) ปรับตัวลดลง 4.2% อยู่ที่ระดับ 129.53 แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการเฟทโก้ในสัปดาห์หน้า จะหารือกันเกี่ยวกับมาตรการจัดเก็บภาษีขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ หากได้ข้อสรุปจะรวบรวมมุมมองความเห็น ทำเป็นหนังสือในนามเฟทโก้ ชี้แจงไปยังกระทรวงการคลังอย่างเป็นทางการ หลังจากได้พูดคุยเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว
“เราพบว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการนี้ ด้วยช่วงเวลาในปีนี้ยังไม่เหมาะสม แม้เห็นใจรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณ แต่ในระยะยาวอาจกระทบสภาพคล่องตลาดทุนลดลง20-30% ถือเป็นการลดประสิทธิภาพของตลาดทุนไทย เพราะจุดขายหลักของตลาดหุ้นไทย คือ มีสภาพคล่องมากสุดในภูมิภาคอาเซียน”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงวานนี้ ถูกกดดันจากเฟดส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวเร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักมากกว่า แม้จะมียอดผู้ติดเชื่อโควิดพุ่งขึ้นและน่าจะปรับขึ้นต่อ เข้ามาสร้างแรงกดดัน แต่ดัชนีวานนี้ยังยืนเหนือ 1,650จุดได้ คาดว่าจะกระทบตลาดผันผวนระยะสั้นแค่ 2-3 สัปดาห์เท่านั้น เป็นโอกาสในการเก็บหุ้นปันผล แต่หากมีการล็อกดาวน์เข้มข้น จะเป็นประเด็นใหม่ที่ต้องทบทวนเป้าหมาย
แหล่งข่าว FETCO ชี้โอมิครอนกระทบระยะสั้น มั่นใจปีนี้’หุ้นไทย’ขาขึ้น, bangkokbiznews, 07 ม.ค. 2565
COMMENTS