น้ำมันขึ้นต่อเนื่องตามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น สต็อกในสหรัฐลดลง

น้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุน เนื่องจากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงและอุปสงค์น้ำมันเบนซินที่ฟื้นตัวในสหรัฐ
ฟิวเจอร์สน้ำมันดิบเบรนท์ในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 2.09 ดอลลาร์หรือ 1.96% สู่ 108.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหลังจากเพิ่มขึ้น 2.22 ดอลลาร์ในวันพุธ ฟิวเจอร์สน้ำมันดิบ WTI อยู่ที่ 99.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.36 ดอลลาร์หรือ 2.43% หลังจากเพิ่มขึ้น 2.28 ดอลลาร์ในช่วงก่อนหน้า
ทามาส วาร์กา นักวิเคราะห์จาก PVM Oil Associates กล่าวว่า “ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ปรับตัวขึ้นหลังจากเฟดขึ้นดอกเบี้ยและเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่รายงานของ EIA รายสัปดาห์ก็หนุนราคาเช่นกัน”
ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้น้ำมันถูกลงสำหรับผู้ซื้อในประเทศอื่น
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 4.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เทียบกับที่คาดการณ์ว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล ขณะที่ความต้องการน้ำมันเบนซินของสหรัฐดีดตัวขึ้น 8.5% ทุกสัปดาห์
สหรัฐอยู่ในสถานะผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก” นักวิเคราะห์ของ Citi กล่าวในหมายเหตุ โดยที่ยอดส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์กลั่นรวมอยู่ที่ 10.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน
การส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในสัญญาณขาขึ้น การเติบโตของการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐอาจหยุดชะงักเนื่องจากขาดอุปกรณ์และทีมงาน รวมถึงข้อจำกัดด้านเงินทุน ผู้บริหารกล่าวในสัปดาห์นี้
กลุ่มประเทศ G7 มีเป้าหมายที่จะมีกลไกการกำหนดราคาสำหรับการส่งออกน้ำมันของรัสเซียภายในวันที่ 5 ธันวาคม เจ้าหน้าที่อาวุโส G7 กล่าวเมื่อวันพุธ ขณะที่รัสเซียได้ตัดการจ่ายก๊าซผ่าน Nord Stream 1 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซหลักไปยังยุโรป เหลือเพียง 20% ของกำลังการผลิต นักวิเคราะห์กล่าวว่าอาจนำไปสู่การเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดิบจากก๊าซและหนุนราคาน้ำมันในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถชดเชยได้ด้วยการฟื้นฟูอุปทานจากลิเบียเข้าสู่ตลาดโลก “เราคงประมาณการราคาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และเห็นราคาน้ำมันโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ และเหนือ 90 ดอลลาร์ในปี 2023” JP Morgan กล่าว