เหตุการณ์ในวันศุกร์กำลังบอกใบ้ถึงสิ่งที่นักลงทุนอาจเห็นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเกือบ 3% ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งเกินคาดพร้อมกระตุ้นการคาดการณ์สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปลายปีนี้
Ryan Detrick หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ LPL Financial กล่าว “ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากผลกำไรของบริษัทในสหรัฐอเมริกากำลังเพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุน”
หุ้นและพันธบัตรปรับตัวลดลงเกือบตลอดทั้งปี เนื่องจากนโยบายของเฟดที่เข้มงวดขึ้นทำให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มปรับพอร์ต แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้พลิกกลับในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยหวังว่าอัตราเงินเฟ้อแตะจุดสูงสุดแล้วและเฟดคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายลง
แต่ขณะนี้ตลาดคาดว่า ผู้กำหนดนโยบายจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 50 คะแนนในการประชุมสามครั้งถัดไป นักวิเคราะห์จาก Capital Economics เขียนเมื่อวันศุกร์ว่า “เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาในสหรัฐแสดงสัญญาณการผ่อนคลายเพียงเล็กน้อย เราจึงสงสัยว่าเฟดจะไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ยภายในเร็วๆ นี้ ดังนั้นเราจึงคาดการณ์ว่าตลาดสินทรัพย์ของสหรัฐยังต้องเจ็บปวดอีกมาก โดยผลตอบแทนของกระทรวงการคลังจะเพิ่มขึ้นอีก และตลาดหุ้นยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน”
ดัชนี S&P ลดลง 18.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี และลดลงเกือบ 20% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
ขณะที่ 77% ของผู้จัดการกองทุนคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะซบเซาในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2008 จากการสำรวจของ BoFA Global Research ก่อนข้อมูลเงินเฟ้อในวันศุกร์
ผลสำรวจของ BoFA Global Research ก่อนตัวเลข CPI ของวันศุกร์แสดงให้เห็นว่า 34% ของนักลงทุนพันธบัตรทั่วโลกเชื่อว่าธนาคารกลางจะเพิกเฉยต่อการร่วงลงของหุ้นและจะหยุดหากตลาดเกิดความผิดปกติ
Pramod Atluri ผู้จัดการพอร์ตตราสารหนี้ของ Capital Group กล่าวว่า “ฉันคิดว่ามีโอกาสที่สมเหตุสมผลที่อัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงสุดที่ 8.5% และเราจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้”
แหล่งข่าว Wall St Week Ahead Dashed peak inflation hopes spell more pain for stocks and bonds โดย Reuters
COMMENTS