SEARCH

“หอการค้าไทย”เตือนเอกชนไทย บริหารความสี่ยงสู้ปัญหา “ภูมิรัฐศาสตร์”

บล.กสิกรไทย เตือน ‘หุ้นแบงก์’ เสี่ยงถูกขายหลังไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ทันที แต่บวกต่อ ‘หุ้นไฟแนนซ์-อสังหา’
หุ้นดีดตัวขึ้นจากข่าวของ Target ผลตอบแทนพันธบัตรร่วงลง
GDP ของจีนใน Q3 ฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่

ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ “ภาคธุรกิจขยับรับมือบริบทโลกเปลี่ยน” ภายในงานสัมมนา “Geopolitics : The big Challenge for Business โลกแบ่งขั้ว ธุรกิจพลิกเกม” จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” วันนี้ (23 ม.ค.) ว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)

ทั้งนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจมีหลายด้าน เช่น เรื่องของราคาพลังงานเป็นต้นทุนที่ภาคธุรกิจควบคุมไม่ได้เลยเพราะราคาพลังงานปรับขึ้นจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆในโลก ทำให้ราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นส่งผลต่อต้นทุนในการผลิต นอกจากนั้นยังส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ จนต้องมีการปรับเปลี่ยน

นโยบายการเงินเกิดการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลหลายประเทศทำให้ต้นทุนในด้านดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่งผลกระทบกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลให้เกิดความผันผวน บางช่วงค่าเงินบาทอ่อนค่า และบางช่วงเงินบาทแข็งค่ามาก มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจนำเข้าและส่งออก

สำหรับภาคธุรกิจที่ต้องใช้อาหารสัตว์ ก็ได้รับผลกระทบจากผลผลิตประเภทธัญพืชที่หายไปจากการสู้รบกันในยูเครนและรัสเซีย ซึ่งทำให้กระทบกับภาพรวมของธุรกิจประเภทนี้ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนเช่นข้าวสาลีหายจากโลกนี้ไปหนึ่งในสาม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หายกัน 20% แต่ละประเทศจะต้องมีการไปแย่งซื้อทำให้ราคาสูงขึ้นเมื่อบวกกับการขนส่งระหว่างประเทศ ในช่วงเวลานั้นจะมีผลกระทบเพิ่มขึ้นในเรื่องของค่าระหว่างเรือแพงมากบางทีสูงกว่าค่าสินค้า

ทั้งนี้ผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นมากขึ้นต่อเรื่องธุรกิจซึ่งธุรกิจจะต้องมีการวางแผนในเรื่องของทางออกสำหรับปัญหาต่างๆไว้ให้พร้อม เช่น การหาแหล่งทดแทนวัตถุดิบ หรือการหาตลาดอื่นๆรองรับหากมีความขัดแย้งจนไม่สามารถส่งสินค้าไปขายยังตลาดเดิมได้

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการไทย มีศักยภาพในการปรับตัว โดยบางส่วนสามารถขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้และซัพพายเชนที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาใหญ่ที่ได้ขยายไปในประเทศที่มีข้อขัดแย้งสูงโดยเฉพาะที่มีมาตรการต่างๆที่ออกมากีดกันทางการค้า มีการเข้าไปสร้างโรงงานหรือว่าไปซื้อกิจการไปเป็นเจ้าของกิจการและทำแบรนด์ให้เข้มแข็ง

ขณะที่การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนั้นในช่วงที่ธุรกิจมีการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 และสงครามรัสเซีย ยูเครน ที่ยังคงดำเนินต่อไปแต่ส่งผลต่อราคาพลังงานลดลง โดยมี 6 ประเด็นที่ภาคเอกชนไทยจะต้องเจอในปี 2566 ได้แก่

1.ธุรกิจที่เกี่ยวกับสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งไม่ใช่แค่การปรับตัวของภาคธุรกิจแต่เป็นโอกาส เช่น ตลาดคาร์บอนเครดิต จะมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของประเทศไทยซึ่งเกิดได้จากการที่เราสร้างปากขึ้นมาในพื้นที่ที่เรามีอยู่มากมายเรามีการปลูกป่าเพิ่มขึ้นเพื่อดูดซับคาร์บอน

2.ธุรกิจยังคงเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น เช่น ค่าไฟ ราคาสินค้าที่มีต้นทุนสูงขึ้น

3.ดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางหลายประเทศเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

4.เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยจะเกิดในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ฝั่งตะวันตกก่อน ซึ่งหากเกิดภาวะแบบนี้ผู้ผลิตสินค้าไม่ควรมีการสต็อกสินค้ามากเกินไปเพราะเสี่ยงที่จะไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมดหากเกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

5.ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ฟื้นตัวได้ดี และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะมีการเติบโต และการจ้างงานเพิ่ม

และ 6.การแพทย์ และสาธารณสุข โดยชาวต่างชาติบางส่วนจะเริ่มกลับมารักษาพยาบาลในประเทศไทย จากภาพลักษ์และคุณภาพการให้บริการการการแพทย์ที่ดีที่มีชื่อเสียงของไทย
สำหรับสิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรแก้ไขคือเรื่องของจุดอ่อนคือเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านธุรกิจ “ease of doing business” และเรื่องการปรับเพิ่มทักษะแรงงานไปสู่ดิจิทัล การแก้ปัญหา

เรื่องการเชื่อมโยงเรื่องการอำนวยความสะดวกในการส่งออก – นำเข้าสินค้า (NSW) ในรูปแบบที่ง่ายและมีความเชื่อมโยงถึงกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ประสานงานกับภาคการส่งออกให้ง่ายขึ้นโดยควรมีแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น

แหล่งข่าว “หอการค้าไทย”เตือนเอกชนไทย บริหารความสี่ยงสู้ปัญหา “ภูมิรัฐศาสตร์”, bangkokbiznews, 23 ม.ค. 2566

COMMENTS

WORDPRESS: 0
DISQUS: 0