SEARCH

แนะจับตา 3 ปัจจัยเสี่ยงกระหน่ำเศรษฐกิจปี 65 โควิดยังอยู่ เงินเฟ้อสูง

Tata Steel เตรียมแตกหุ้นใน 3 พ.ค. นี้
คนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตสูง 92.5%
น้ำมันพุ่งก่อน EU ประชุมเพื่อคว่ำบาตรรัสเซีย

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่จะกดดันเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2565 มี 3 ปัจจัย คือ 1. ไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดต่อเนื่องและยืดเยื้อ ประเด็นนี้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งมีอัตราการแพร่ระบาดสูงและทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ในอังกฤษ และเดนมาร์ก ที่จำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นเท่าตัวในทุกสองวัน

ทั้งนี้ แม้ข้อมูลเบื้องต้นอาจชี้ว่าโอมิครอน มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่เคยระบาดก่อนหน้านี้ แต่ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็อาจทำให้จำนวนผู้ป่วยหนักพุ่งขึ้นตามจนเกินกำลังของระบบสาธารณสุข นับเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้ในปี 2565 หลายประเทศจำเป็นต้องกลับมาประกาศใช้มาตรการ Lockdown ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตของโลกและทำให้ปัญหาเงินเฟ้อยืดเยื้อต่อไปอีก

2. เงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูงตลอดทั้งปี โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาด้านการผลิตที่ไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้เท่ากับช่วงก่อนที่ COVID–19 แพร่ระบาด เช่น ปัญหาการขาดแคลนแรงงานซึ่งถูกกระทบจากสังคมสูงวัย โดยในสหรัฐฯ มีแรงงานที่ถูกปลดในช่วง COVID–19 จำนวนมากถึงกว่า 3 ล้านคน เป็นแรงงานที่มีอายุมากกว่า 55 ปี ซึ่งส่วนใหญ่อาจตัดสินใจเกษียณอายุและไม่กลับสู่ตลาดแรงงานอีกแล้ว

นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงกระแส Deglobalization ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกในระยะยาว ในขณะที่ความพยายามในการลดก๊าซเรือนกระจก ทำให้การลงทุนในแหล่งพลังงานฟอสซิลลดลงอย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้ต้นทุนราคาพลังงานสูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ปัจจัยที่ 3. นโยบายการเงินที่เข้มงวด ประเด็นนี้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดว่า ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางจะทำให้นโยบายการเงินมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะยุตินโยบายการเงินเชิงผ่อนคลาย (QE) ในไตรมาส 1/2565 และอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในทันทีที่ QE ยุติลง

โดยสภาพคล่องที่ลดลงและดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นชัดเจน จะเป็นปัจจัยกดดันต่อมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นในปี 2565 โดยข้อมูลในอดีตชี้ว่าค่าอัตราราคาปิดต่อกำไร (P/E) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) จะลดลงเฉลี่ย 5% ในช่วง 2-3 เดือนหลังจากที่ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก

นายคมศร กล่าวอีกว่า สำหรับภาพการลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ มองว่าไตรมาส 1/2565 จะเป็นช่วงที่เสี่ยงที่สุดสำหรับตลาดหุ้นในปี 2565 โดยมีปัจจัยกดดันจาก

1. ตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง จากอุปสงค์ที่กลับสู่ภาวะปกติหลังแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจหมดไป 2. ความเสี่ยงจากการระบาดของโอมิครอน และ 3. การยุตินโยบายการเงินเชิงผ่อนคลาย (QE) และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

2. ความยืดหยุ่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปและญี่ปุ่นมีมากกว่าสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับเงินเฟ้อที่สูง ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) จะถูกกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น และให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี

แหล่งข่าว แนะจับตา 3 ปัจจัยเสี่ยงกระหน่ำเศรษฐกิจปี 65 โควิดยังอยู่ เงินเฟ้อสูง, ไทยรัฐ, 21 ธ.ค. 2564

COMMENTS

WORDPRESS: 0
DISQUS: 1