นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงน้อยกว่าต่างประเทศ ดังนั้น หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังส่งผลกดดันตลาดหุ้นโลก เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะยังเคลื่อนไหวได้โดดเด่น (Outperform) มากกว่า
สำหรับการลงทุนในประเทศ ระยะสั้น แนะนำซื้อขายทำกำไร (เทรดดิ้ง) กลุ่มพลังงาน ตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นสูง รวมถึงแนะนำซื้อกลุ่มหุ้นเชิงรับ (Defensive Stock) ที่เป็นหลุมหลบภัย ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มบริหารหนี้ (AMC) สามารถหลบภัยได้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยง
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นโลก ยอมรับว่าสถานการณ์ตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ ประเมินทิศทางอนาคตได้ลำบาก อย่างไรก็ดี หากพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ประกอบ ได้แก่ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ที่ยังเป็นขาขึ้น
การลงทุน จึงไม่แนะนำกลุ่มหุ้นเติบโต (Growth Stock) โดยเฉพาะ Growth Stock ในตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ และยุโรป เพราะมูลค่าหุ้นในตลาด (Valuation) อยู่ในระดับค่อนข้างสูงแล้ว ในทางกลับกัน แนะนำกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value Stock) โดยเฉพาะประเทศเวียดนามและจีนที่มีกลุ่มหุ้นดังกล่าวในระดับสูง อีกทั้ง Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
เมื่อสอบถามถึงการจัดพอร์ตลงทุน นายณัฐชาต กล่าวว่า แนะนำถือเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน (Wait and See) อย่างไรก็ดี สัดส่วนการถือเงินสด ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละท่านรับได้
ขณะที่การเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่าดัชนี SET (SET Index) ยังปรับลงมาไม่ถึงระดับที่น่าสนใจ เพราะนอกจากความเสี่ยงรัสเซียกับยูเครนแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากการกลับมาติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหญ่ ดังนั้น จึงให้แนวรับรอบนี้ที่ 1,635 จุด เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยรอบใหม่
แหล่งข่าว 3 โบรกฯ เปิดกลยุทธ์การลงทุน เทรดหุ้นอย่างไรในภาวะสงคราม, bangkokbiznews, 27 ก.พ. 2565
COMMENTS