SEARCH

ศูนย์วิจัยกสิกร คาด ยอดออกตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนปี65 พุ่ง 7.6หมื่นล้าน

หุ้นอสังหาจีนปรับตัวขึ้นหลังผ่อนปรนกฎการจัดหาหุ้น
S&P 500 เตรียมเข้าสู่การปรับฐานครั้งแรกนับตั้งแต่การล่มสลายในปี 2020
รัสเซียจะใช้กฎหมายล้มละลายเพื่อลงโทษบริษัทต่างชาติอย่างไร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ปัจจุบันโลกกำลังให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยภาคการเงินเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่เป็นตัวกลางในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงเพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดยสาเหตุที่ทำให้การเงินยั่งยืนได้รับความนิยมอย่างมากมาจากการให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามองค์การสหประชาชาติหรือ Sustainable Development Goals (SDGs) และการมีส่วนร่วมในข้อตกลงปารีส Paris Agreement เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่เริ่มเข้ามาเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการเงิน

ซึ่งส่งผลให้หน่วยงานระหว่างประเทศ หน่วยงานรัฐ และหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินในหลายประเทศ หันมาให้การสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน
รวมถึงออกหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในการลงทุนและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

โดยแนวโน้มการเงินเพื่อความยั่งยืนทั่วโลกมีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด มูลค่าตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนซึ่งประกอบด้วย
ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารหนี้เพื่อสังคม (Social Bond) ตราสารหนี้เพื่องความยั่งยืน (Sustainability Bond) เติบโตถึง 10 เท่า จาก 93,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2016 เป็น 929,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2021 ซึ่งส่วนใหญ่มากจากการออกGreen Bond

โดยวัตถุประสงค์ในการระดมทุน 3 ลำดับแรก ได้แก่ ด้านพลังงาน 37% ด้านอาคารสีเขียว 29% และการขนส่ง 17% ตามลำดับ
ในขณะที่การให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 106,566 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2018 เป็น 716,561 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2021 หรือเพิ่มขึ้นเป็น 7 เท่าตัว

สำหรับการออกตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนประเทศไทย ยอดคงค้างตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี2565 มีจำนวน 330,049 ล้านบาท
โดยส่วนใหญ่เป็น Sustainability Bond จากการกู้ของรัฐบาลเพื่อใช้เยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 มูลค่า 147,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากไม่รวมตราสารหนี้ดังกล่าวของรัฐบาล Green Bond ถือเป็นสัดส่วนใหญ่

ซึ่งมีมูลค่าคงค้าง 106,156 ล้านบาท โดย Green Bond ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เงินในโครงการพลังงานหมุนเวียน ลำดับถัดมาคือ เพื่อใช้เงินในโครงการสร้างรถไฟฟ้า
โดยแนวโน้มการออกตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (ไม่รวม Sustainability Bond ของรัฐบาลในปี 2020) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นโดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 101% โดยส่วนใหญ่เป็นการออก Green Bond และตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond)

ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 2 ในปี 2022 มีการออกตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนแล้ว 41,850 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็น Green Bond มูลค่า 20,850 ล้านบาทเพื่อใช้ในโครงการพลังงานหมุนเวียน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2022 จะมีการออกตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน 76,000 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 12.1 ตามมุมมองเศรษฐกิจที่ขยายตัว
อย่างไรก็ดี ในระยะ 2 – 3 ปีข้างหน้า แนวโน้มนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยจะส่งให้ผลให้การออกตราสารหนี้ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ในระยะยาว การเงินเพื่อความยั่งยืนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นโดยเฉพาะการระดมทุนด้วยตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ในโครงการด้านพลังงาน

แหล่งข่าว ศูนย์วิจัยกสิกร คาด ยอดออกตราสารหนี้ด้านความยั่งยืนปี65 พุ่ง 7.6หมื่นล้าน, bangkokbiznews, 26 ก.ค. 2565

COMMENTS

WORDPRESS: 0
DISQUS: 0