บริษัทในสหรัฐจะรายงานผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่ นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเงินเฟ้อต่อรายได้และแรงกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐเพื่อเร่งเวลาสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางการแพร่ระบาดในวงกว้างของ Omicron
การเติบโตของกำไรปีต่อปีสำหรับบริษัทใน S&P 500 คาดว่าจะลดลงในไตรมาสที่สี่มากกว่าในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2564 แต่ยังคงแข็งแกร่งที่บวก 22.4% ตามข้อมูลของ IBES จาก Refinitiv
ผลกำไรมหาศาลที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2564 เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ Bill Northey ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการลงทุนของ U.S. Bank Wealth Management กล่าวว่า การเติบโตจากฐานที่ต่ำจะเริ่มลดลงเมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2022
การเติบโตของรายได้ทั้งหมดในปี 2564 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับ 8.6% ในปี 2565 ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้าสำหรับ S&P 500 อยู่ที่ 21.7 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15.5 ตาม Refinitiv ระบุ
JPMorgan Chase มีกำหนดรายงานผลประกอบการในวันศุกร์ พร้อมกับ Citigroup และ Wells Fargo นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐจะแสดงรายรับหลักในไตรมาสสี่ที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการปล่อยสินเชื่อใหม่และผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น
Howard Silverblatt นักวิเคราะห์ดัชนีอาวุโสของ S&P Dow Jones Indices ในนิวยอร์กกล่าวว่า “เราคาดว่าอัตรากำไรจะไม่สูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้” แต่ยังคงสูงอยู่
ตลาดหุ้นได้เห็นนักลงทุนหมุนเวียนออกจากหุ้นที่มีการเติบโตด้านเทคโนโลยีและเข้าสู่หุ้นที่เน้นมูลค่ามากขึ้นซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำได้ดีกว่าในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางคนกล่าวว่าผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีอาจดีกว่าที่วอลล์สตรีทคาดไว้มาก รายงานผลประกอบการยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ จะเริ่มในสัปดาห์หน้า อย่าง Netflix ที่จะรายงานในวันที่ 20 ม.ค.
Daniel Morgan ผู้จัดการพอร์ตของ Synovus Trust มองว่า บริษัทชิปบางแห่ง รวมถึง Micron Technology นั้นสดใส ขณะที่ ข้อมูลของ Refinitiv คาดการณ์ว่าภาคพลังงาน วัสดุ และอุตสาหกรรมจะมีกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบปีต่อปีในไตรมาสที่สี่
แหล่งข่าว Investors ready for U.S. earnings as inflation worries run high โดย Reuters
COMMENTS