REUTERS/Max Ross
ราคาน้ำมันขยับขึ้นในวันจันทร์จากดอลลารที่เริ่มอ่อนค่า ขณะที่การอุปทานในแคนากาและ OPEC+ ยังคงลดลงต่อเนื่อง ด้าน G7 ยังคงมุ่งมั่นที่จะกำหนดเพดานราคาน้ำมันของรัสเซีย
สัญญาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบเบรนต์พุ่งขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.2% อยู่ที่ 75.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐสำหรับการส่งมอบเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 71.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเพิ่มขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.2% ด้านสัญญาฟิวเจอร์ส WTI เดือนมิถุนายนซึ่งจะหมดอายุในวันจันทร์เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ปิดที่ 71.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักจากการที่นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมนโยบายเดือนมิถุนายน
สัปดาห์ที่แล้วสัญญาซื้อขายทั้ง 2 ฉบับเพิ่มขึ้นราว 2% ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์หลังเหตุการณ์เพลิงไหม้ในแคนาดา
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs และ JP Morgan ระบุว่าการปรับลดการผลิตของ OPEC+ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมกำลังส่งผลต่อตลาดเช่นกัน ยอดส่งออกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันของกลุ่มลดลง 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ภายในวันที่ 16 พ.ค. อย่างไรก็ตาม Tina Teng นักวิเคราะห์ของ CMC Markets กล่าวว่าการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดกับรัสเซียอาจส่งผลดีต่อราคาน้ำมัน โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา G7 ให้คำมั่นในการประชุมผู้นำประจำปีว่าจะเพิ่มความพยายามในการตอบโต้การเลี่ยงมาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมัน
รายงานประจำเดือนฉบับล่าสุด IEA ออกตำเตือนถึงปัญหาการขาดแคลนด้านอุปทานในช่วงครึ่งหลังของปี โดยอุปสงค์อาจมากกว่าอุปทานถึง 2 ล้าน bpd
ในสหรัฐอเมริกา จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลง 11 เป็น 575 แห่งในสัปดาห์ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งเป็นการลดลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 ตามรายงานของ Baker Hughes Co (BKR.O) ระบุ “การชะลอตัวของกิจกรรมการขุดเจาะของสหรัฐสร้างความกังวลให้กับตลาดน้ำมัน ซึ่งทำให้เกิดคาดการณ์อุปทานจะขาดหายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้” นักวิเคราะห์ของ IGN ระบุในบันทึก
แหล่งข่าว Oil edges up on supply worries, G7 pledge to enforce Russian price caps โดย Reuters
COMMENTS