SEARCH

หุ้นเอเชียร่วงต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ปอนด์แข็งค่าหลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่

สต๊อกน้ำมันปาล์มเหลือ 1.6 แสนตัน ต่ำกว่าสต๊อกกว่าครึ่ง
ตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐมองข้ามสงคราม
น้ำมันขึ้น 2% จากจุดต่ำสุดในรอบ 15 เดือนจากความกังวลต่อธนาคารกลาง

ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งในวันนี้ แม้ในการเปิดในแดนบวกจากความหวังที่ว่าเฟดอาจแตะเบรก ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ขณะที่ปอนด์พุ่งแตะระดับสูงสุดในเดือนนี้หลังจากที่นายริชี สุนัค เตรียมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.3% มาอยู่ที่ 1.13170 ดอลลาร์ โดยอยู่ในทิศทางเดือนที่ดีที่สุดที่ 1.1493 ดอลลาร์

หุ้นเอเชียเคลื่อนไหวแบบผสม ดัชนีญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.7% และดัชนีเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 0.3% ดัชนีไต้หวันลดลง 0.7% และดัชนีฮ่องกงร่วง 0.6% ดัชนีหุ้น MSCI เอเชียแปซิฟิกลดลง 0.4% อยู่ที่ 428.2 จุด หลังจากร่วงแตะ 427.4 จุด

นักเศรษฐศาสตร์ของ ING สังเกตเห็นความอ่อนแอของดัชนี PMI ที่ออกมาในวันจันทร์ “อาจเป็นสัญญาณที่ดีในข่าวร้ายนี้ โดยที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจช้าลง”

ดัชนีทั่วเอเชียเอเชียร่วงลงกว่า 32% ในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากหุ้นฮ่องกงที่ร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่ตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดียและอินโดนีเซียกำลังรับแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น

หุ้นจีนร่วงลงอีกครั้งในวันอังคารหลังเปิดเผยรายชื่อของคณะเจ้าหน้าระดับสูงของสี จิ้นผิง ดัชนีจีนแผ่นดินใหญ่ร่วงลง 0.6 และหยวนในต่างประเทศร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอ่อนค่าลงมากถึง 7.3650 ต่อดอลลาร์ ขณะที่หยวนบนบกร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี หลังจากที่เผยตัวเลข mid-point ที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008

เมื่อวันจันทร์ หุ้นสหรัฐปิดในแดนบวกตามความคาดหวังว่าเฟดจะแตะเบรก ส่งให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.34%, S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.19% และ Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.86%

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงวางโอกาสสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ 75 จุดในการประชุมนโยบายสัปดาห์หน้า ในด้าน ECB มีกำหนดประชุมในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 75 จุด

ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำพุ่งขึ้น 0.1% สู่ระดับ 1,650.6 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบเบรนท์ทรงตัวที่ 93.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แหล่งข่าว Asian stocks ease to 2-1/2-year lows, pound lifted by Sunak’s victory โดย Reuters

COMMENTS

WORDPRESS: 0
DISQUS: