SEARCH

การกระชับนโยบายของเฟดกำลังถูกท้าทายจากสงครามและอุปทานน้ำมันที่อาจชะงัก

วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนอาจผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นต่อไป
S&P 500 เตรียมเข้าสู่การปรับฐานครั้งแรกนับตั้งแต่การล่มสลายในปี 2020
‘บิทคับ เวนเจอร์ส’ ร่วมมือ KillSwitch ลุย ‘บล็อกเชน’ เทรนด์ลงทุนอนาคต

เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีเริ่มประเมินว่าความขัดแย้งที่คลี่คลายในยูเครนอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยนักลงทุนและเจ้าหน้าที่บางคนแนะนำว่าอาจช้าแต่ไม่น่าจะหยุดตามแผนดังกล่าว

นักวิเคราะห์กล่าวความผันผวนของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ และความเป็นไปได้ที่อาจส่งผลต่อการเติบโตและความเชื่อมั่นทั่วโลกนั้นเป็นความเสี่ยงที่ชัดเจน
ความเสี่ยงอาจชัดเจนพอๆ กับราคาน้ำมันที่สูงซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ หรือไม่อาจทราบได้ว่ารัสเซียจะตอบสนองต่อมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ อย่างไร

เฟดมีแผนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม เนื่องจากต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่ทำสถิติสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ นโยบายของเฟดมีความซับซ้อนอยู่แล้วจากผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้ของการระบาดใหญ่ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในรอบศตวรรษ และต้องคำนึงถึงราคาพลังงานที่มีแนวโน้มตกต่ำและความไม่แน่นอนอื่นๆ ภายหลังการย้ายกองทัพของรัสเซียเข้าสู่ยูเครน อ่านเพิ่มเติม

FedWatch ของ CME Group กำลังส่งสัญญาณจนถึงจุดหนึ่งว่าความน่าจะเป็นของการปรับขึ้นราคาครั้งใหญ่ได้ลดลงในชั่วข้ามคืนจากประมาณ 33% เหลือน้อยกว่า 10%

“เราจะจับตาดูสิ่งนี้อย่างใกล้ชิดที่นี่ในแอตแลนต้าและทั่วทั้งระบบธนาคารกลางสหรัฐ เพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเงิน” ราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนต้ากล่าว อย่างไรก็ตาม ปัญหาอันดับหนึ่งของเฟดในตอนนี้คือการควบคุมเงินเฟ้อ เช่นเดียวกับ แมรี่ เดลี ประธานเฟดแห่งซานฟรานซิสโก กล่าวว่า ด้วยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่สูงที่สุดเท่าที่เป็นอยู่และตลาดแรงงานแข็งแกร่ง เฟดควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนของความขัดแย้งในยูเครน-รัสเซียก็ตาม

แหล่งข่าว Fed tightening plans now contending with war, possible oil shock โดย Reuters

COMMENTS

WORDPRESS: 0
DISQUS: 0